ธนาคารระดับโลก Standard Chartered ได้ออกมาฟันธงอย่างมั่นใจว่า Bitcoin มีโอกาสแตะ $200,000 ภายในสิ้นปีนี้ โดยให้เหตุผลสำคัญ 3 ข้อคือ เงินไหลเข้าจากกองทุน ETF อย่างต่อเนื่อง การเข้าซื้อของบริษัทใหญ่ที่เพิ่มขึ้น และนโยบายภาครัฐที่เป็นมิตรกับสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้นเรื่อย ๆ
Geoffrey Kendrick หัวหน้าฝ่ายวิจัยสินทรัพย์ดิจิทัลของธนาคาร ระบุว่าราคา Bitcoin อาจแตะ $135,000 ภายในไตรมาส 3 ก่อนพุ่งต่อทะลุ $200,000 ภายในวันที่ 31 ธันวาคมนี้ โดยเชื่อว่าปัจจัยขับเคลื่อนใหม่ ๆ เหล่านี้มีพลังมากพอจะลบล้างวัฏจักรเดิมที่เคยเกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ Halving ได้อย่างสิ้นเชิง
ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา Bitcoin จำนวนกว่า 245,000 BTC ได้ถูกซื้อเข้าโดยกองทุน ETF และบริษัทมหาชน ซึ่งถือเป็นการดูดซับแรงขายออกจากตลาดครั้งใหญ่ Kendrick เชื่อว่าแรงซื้อนี้จะไม่หยุดเพียงเท่านี้ เพราะบริษัทหน้าใหม่ที่ไม่ใช่ MicroStrategy เองก็เริ่มเข้ามาซื้อในปริมาณที่สูงถึง 56,000 BTC ซึ่งเกือบเทียบเท่ากับการสะสมของ Michael Saylor เลยทีเดียว

ข้อมูลยังชี้ให้เห็นว่า ในไตรมาสที่ผ่านมา ETF ที่ลงทุนใน Bitcoin มีเงินไหลเข้าเหนือกว่า ETF ทองคำ แม้จะเป็นช่วงที่สถานการณ์ในตะวันออกกลางตึงเครียด นี่เป็นสัญญาณว่า Bitcoin เริ่มได้รับการมองว่าเป็น “สินทรัพย์มหภาค” ที่น่าเชื่อถือในระดับเดียวกับทองคำแล้ว
อีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญที่ Kendrick ชี้ไว้คือ แนวนโยบายภาครัฐ โดยเฉพาะความเป็นไปได้ที่อดีตประธานาธิบดี Donald Trump จะประกาศชื่อผู้แทนที่จะมารับตำแหน่งประธาน Fed คนใหม่ก่อนกำหนด ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดเร่งคาดการณ์การลดดอกเบี้ย และหนุนให้ราคาสินทรัพย์อย่าง Bitcoin พุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ กฎหมาย Stablecoin ฉบับใหม่ที่ชื่อว่า GENIUS Bill ซึ่งกำลังรอการผ่านสภา อาจเป็นแรงผลักดันสำคัญที่เปิดประตูให้คนทั่วไปเข้าถึงเงินดอลลาร์บนบล็อกเชนได้มากขึ้น และจะทำให้กระแสเงินไหลเข้าสู่ Bitcoin จากฝั่งผู้บริโภคทั่วไปเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
Kendrick ยังกล่าวปิดท้ายว่า หากทุกอย่างดำเนินไปตามคาด Bitcoin จะสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ด้วยการพุ่งขึ้นกว่า $92,000 ภายใน 6 เดือน ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นของมูลค่าสูงสุดในช่วงครึ่งปีหลังนับตั้งแต่ Bitcoin ถือกำเนิดมา
credit : theblock
Facebook Comments