Estée Lauder Companies (ELC) ซึ่งเป็นแบรนด์เครื่องสำอางค์ระดับโลก เผยเตรียมนำเอาเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในการติดตามกระบวนการผลิต ‘วานิลลา’ ในบริษัทของพวกเขาแล้ว
วานิลลาเป็นเครื่องเทศที่สกัดจากกล้วยไม้และน้ำมันหอมระเหยจากวานิลลามักนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมความงาม แต่เนื่องจากวานิลลาที่มาจากธรรมชาติแท้ 100% นั้นเริ่มหายากมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ต้องมีการติดตามคุณภาพของวานิลลา ตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูก ไปจนถึงการขนส่ง ด้วยการนำแพลตฟอร์มด้านบล็อคเชนมาใช้ตรวจสอบความถูกต้องและรักษาคุณภาพของวานิลลา รวมถึงกระบวนการจัดหาส่วนผสมในการผลิต
ด้วยราคาที่สูงถึงกิโลกรัมละ $500 ทำให้วานิลลากลายเป็นวัตถุดิบหายากของมาดากัสการ์ จนถึงขั้นต้องทำการสลักชื่อ ID และหมายเลขซีเรียลไว้ที่ฝักเลยทีเดียว นอกจากนี้ชาวสวนยังต้องถือปืนลาดตระเวณเพื่อเฝ้าดูผลผลิตอีกด้วย
ELC ตั้งเป้าว่าจะใช้เทคโนโลยี blockchain ติดตามผลิตภัณฑ์ในโรงงาน Aveda ทั้งหมด 125 รายการภายในฤดูใบไม้ผลิปี 2021 โดยปัจจุบันได้เสร็จสิ้นกระบวนทดสอบกับเกษตรกรไปแล้วกว่า 450 รายในมาดากัสการ์และทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น
Blockchain สำหรับ Vanilla Supply Chain
ปัจจุบัน 80% ของการผลิตวานิลลาทั่วโลกนั้นล้วนดำเนินการในมาดากัสการ์ทั้งสิ้น ดังนั้น ELC จะนำ blockchain เพื่อใช้จัดหาวัสดุหมุนเวียนและรับผิดชอบในส่วนของ Supply Chain
นาย Gregory Polcer รองประธานบริหารของ Estée Lauder Companies กล่าวว่า เทคโนโลยี blockchain จะช่วยเพิ่มความโปร่งใสให้กับกระบวนการผลิตของ ELC
เขากล่าวว่า “blockchain จะเข้ามาช่วยในเรื่องมาตรฐาน , การจัดหาวานิลลา , ด้านจริยธรรมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการเสริมสร้างความไว้วางใจให้กับตัวแทนจำหน่าย , ผู้บริโภคและนักลงทุนของเรา การใช้โทรศัพท์มือถือ , QR Code และเทคโนโลยีบล็อกเชนจะช่วยป้องกันการโจรกรรมฝักวานิลลาระหว่างการขนส่งสินค้าในแต่ละรอบ
เทคโนโลยีบล็อกเชนจะช่วยให้บริษทัสามารถตรวจสอบคุณภาพและแหล่งที่มาของวานิลลาตั้งแต่เกษตรกร ไปจนถึงโรงงานผลิตได้เช่น Grasse ในประเทศฝรั่งเศสและโรงงานผลิตของ Aveda ในมินนิโซตาสหรัฐอเมริกา
ยิ่งไปกว่านั้นเทคโนโลยี blockchain ยังช่วยลดความซับซ้อนในการจัดหาวานิลลา ซึ่งเกิดจากสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน เช่นการแพร่ระบาดต่าง ๆ ทั่วโลก หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูของมิอากาศ
Facebook Comments