Bitcoin เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่แข็งแกร่งที่สุดในทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งมันสามารถเอาชนะอุปสรรคสำคัญทุกอย่างนับตั้งแต่มันมีการเปิดตัว รวมถึง Bug CVE-2010, Mt.Gox, BCH Fork Wars และ การมาของเหล่า Altcoins แต่นี่ไม่ได้หมายความว่ามันจะสามารถแก้ไขได้ทุกปัญหา
ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของ Bitcoin และหวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้
1- การขุดเหมืองคริปโตที่มีรูปแบบเป็น centralized : ทุกองค์ประกอบของโครงสร้างพื้นฐานในการทำเหมืองดูเหมือนว่าจะมีรูปแบบเป็น centralized อย่างเช่น
- Bitmain เป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์ขุดเหมืองส่วนใหญ่ทั้งหมดบนโลกและมีระบบหลังบ้านที่สามารถสั่งปิดอุปกรณ์เหล่านี้ได้
- มี mining pools แค่เพียง 8 แห่งเท่านั้นที่ควบคุมกำลังขุดทั้งหมด 85% ในโลก
- กำลังขุดส่วนใหญ่อยู่ในประเทศที่ไม่เป็นมิตรกับ Bitcoin และเป็นอิสระโดยทั่วไป
การโจมตีที่สามารถทำได้ด้วยแรงขุดส่วนใหญ่สามารถนำมาใช้โจมตี chain reorg, , 51% attack , Death spiral, eclipse attack และการรีเซ็ตอัลกอริทึ่มของที่เรียกว่า POW algo reset
2- ปัญหาการ short ราคา Bitcoin และการสร้าง chain ทางเลือกเพื่อทำกำไรจากทฤษฎีเกมของ Satoshi ส่วนสำคัญของทฤษฎีเกมก็คือ ผู้เล่นจะมีแรงจูงใจสำหรับการขุดเหมืองในระยะยาวโดยเลือกที่จะเป็นผู้เล่นที่ดี เนื่องจากพวกเขาจะถูกผูกติดอยู่กับรางวัลของ bitcoin แต่ในอนาคตมันอาจมันอาจไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป เหล่านักขุดอาจเลือกที่จะโจมตี bitcoin chain และ ทำการ short ราคา bitcoin ในช่วงสั้น ๆ จากนั้นพวกเขาก็จะหันไปขุด chain อื่น
3- โมเดล Havling ที่ยังไม่ผ่านการทดสอบและค่าธรรมเนียม: ทุก ๆ 4 ปีรางวัลบล็อกของ bitcoin จะลดลงครึ่งหนึ่ง ซึ่งมันจะเป็นไปตามเงื่อนไขของ BTC มาตั้งแต่แรก แต่อย่างไรก็ตามในอนาคตความโกลาหลเหล่านี้ที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน :
- เราไม่จำเป็นรอไปจนถึงปี 2140 เมื่อรางวัลของ Bitcoin จะลดลงจนเหลือ 0 เพราะตามทฤษฏีแล้วในระยะเวลา 9 ปี รางวัลในการขุดบล็อก Bitcoin จะลดลง 88% จาก 12.5BTC ไปเป็น 1.5BTC และใน 17 ปีจะเหลือแค่ 0.39 BTC ต่อบล็อก ลดลงถึง 97% จากปัจจุบัน
- ราคาจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าเมื่อถึงการ Halving ในครั้งถัดไป แต่ปัญหาเกี่ยวกับทฤษฏีนี้ก็คือ เงินรางวัลจะเข้าไปแทรกแซงการเพิ่มขึ้นของราคาด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งมันหมายความว่าในการ halvings ครั้งที่ 9 Bitcoin มีมูลค่าของมันจะมากกว่า GDP ทั่วโลกทั้งหมด
ซึ่งทางออกของปัญหานี้ที่เราเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ
- Proof of Stake.
- การละเมิดกฏ Bitcoin ที่จำกัดไว้ที่ 21 ล้านเหรียญและหยุดการ halvings ทั้งหมด
- นำเหรียญของ Satoshi ที่เก็บไว้ออกมาใช้เพื่อเป็นกองทุนเงินเฟ้อ
โดยสิ่งที่เรารู้ในตอนนี้ก็คือเราต้องจ่ายเงินให้นักขุดเหมืองต่อไปไม่ว่าจะเป็นรูปแบบค่าธรรมเนียมหรือเงินอุดหนุน ดังนั้นท้ายที่สุดมันจะจบด้วยค่าธรรมเนียมที่สูงหรือมีเหรียญ Eclipse BTC อื่น ๆ ใน Hash Power … และนั่นจะเป็นช่องโหว่ในการโจมตีจุดที่ 1
นอกจากนี้เรายังจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับคนที่ฝาก Bitcoin เพื่อยืนยันธุรกรรม ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้ LN แพงเกินไปสำหรับคนส่วนใหญ่ในโลก
3.1- Bitcoin กำลังจะตายอย่างช้า ๆ เนื่องจากขาดนวัตกรรมใหม่ ๆ : ถ้าเราเป็นผู้ใช้งาน Bitcoin มาตั้งแต่ปี 2013 เราจะเห็นได้ว่า Bitcoin ไม่มีแอพพลิเคชั่นใหม่ ๆ , กรณีการใช้งานใหม่ ๆ หรือแม้กระทั่งการซิงค์ nodes ได้เร็วขึ้น รวมถึงนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ทางผู้พัฒนาเคยได้ให้สัญญาเอาไว้มันก็ไม่เคยเกิดขึ้นเลย
- ChangeTip ปิดตัวลงและถูกซื้อกิจการโดย Airbnb
- โปรเจคเหรียญ Colored coins สุดท้ายก็ปิดตัวลงทำให้มีเหรียญ Ethreum เกิดขึ้นและ เหล่า altcoin ทยอยตามกันออกมา
- คู่สัญญาที่เข้ากันได้กับ smart contracts แต่สุดท้ายทาง Bitcoin Core ก็ตัดสินใจเลือกเปลี่ยน OP RETURN จาก 80 ไบต์ เป็น 40 ไบต์ แทน
ในที่สุด Bitcoin อาจไม่มีอะไรใหม่ และค่อย ๆ ตายอย่างช้า ๆ
4- ขาดความเป็นส่วนตัว : Bitcoin คือนามแฝงที่ดีที่สุด หากเราต้องเผชิญหน้ากับหน่วยปราบปรามของประเทศ เนื่องจากมันอยู่ภายใต้ดาวเทียม nodes ทั้งหมด แต่สิ่งเหล่านี้มันจะมีประโยชน์เลย ถ้าหากเจ้าหน้าที่สามารถระบุตัวตนเจ้าของ Bitcoin ได้และฟาดคุณด้วยประแจ
5- การพัฒนา Bitcoin ที่มีรูปแบบคล้าย Centralized : ในปีที่ผ่านมา 70% ของการพัฒนา Bitcoin ถูกกระทำโดยนักพัฒนา 10 คนและ 97% ของโหนดนั่นเป็นของ Bitcoin Core นอกจากนี้พวกเขายังสามารถโน้มน้าวให้ทุกคนตรวจสอบโค้ดทั้งหมดกว่า 300,000 รายการได้และทำให้มันมีมติเอกฉันท์เพื่อเริ่มการเปลี่ยนแปลงระบบใหม่ทั้งหมดได้อีกด้วย
6- ควอนตัมคอมพิวเตอร์ : “Bitcoin จะไม่ปลอดภัยจากควอนตัมคอมพิวเตอร์” เราทราบกันดีว่าลักษณะการคำนวณของควอนตัมคอมพิวเตอร์นั่นมีความสามารถสูงมากและสามารถประมวลผลแก้รหัสทางคณิตศาสตร์ของ Bitcoin ได้อย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่เรากังวลนี้ยังไม่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
7-มันไม่สามารถปรับขนาดได้ : จุดที่พีคที่สุดของ Bitcoin สามารถประมวลผลธุรกรรมได้มากที่สุดอยู่ที่ 2,763 tx ในบล็อกเดียว ดังนั้นนี่หมายความว่า bitcoin สามารถประมวลผลได้ประมาณ 145,223,280 ธุรกรรมต่อปี ซึ่งเท่ากับประมาณ 0.02 ธุรกรรมต่อคนปีต่อปี ถึงแม้ว่าเราจะมีเครือข่าย Lightning และได้รับค่าธรรมเนียมที่แสนถูก แต่ถึงอย่างนั้นผู้คนก็สามารถเปิดและปิดธุรกรรมได้เพียงแค่ chanel เดียวเท่านั้น ซึ่งมันเป็นปัญหาที่นักพัฒนาต้องแก้ไขกันต่อไป
ที่มา : medium
Facebook Comments