ปี 2020 ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ท่ามกลางคำถามมากมายที่มักจะถามว่า Crypto ในปี 2020 นี้จะเป็นเช่นไร ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาหาคำตอบกัน
1. ประเทศต่าง ๆ กำลังจะเปิดตัวสกุลเงินดิจิทัลเป็นของตนเอง
ในปีนี้ดูเหมือนว่าประเทศต่าง ๆ กำลังเริ่มตื่นตัวกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น, สวีเดน, รัสเซีย, เอสโตเนียและฝรั่งเศสก็ได้มีการประกาศเปิดตัวสกุลเงินดิจิทัลที่รัฐบาลออกให้ ซึ่งในกรณีของประเทศฝรั่งเศสพวกเขากำลังมองหาสถานที่ในการเริ่มวางรากฐานภายในปลายไตรมาสแรกของปี 2020 แต่ก็ดูเหมือนว่าจีนอาจเอาชนะพวกเขาไปได้ในยกแรก
นาย Florian Glatz ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ Fundament Securities ได้ชี้ไปที่โปรเจค Libra ของ Facebook ว่าเป็นตัวกระตุ้นให้ประเทศต่าง ๆ เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมในวงการคริปโตเคอเรนซี่ “การโฆษณาและการถกเถียงกันเกี่ยวกับโปรเจค Libra จะยังคงไม่ทุเลาลง แต่มันจะช่วยให้รัฐบาลของแต่ละประเทศเริ่มที่จะวางแผนและพัฒนาทางเลือกของพวกเขาเอง” เขากล่าว
2. บริษัทต่าง ๆ ก็จะเข้ามามีบทบาทด้วยเช่นกัน
เมื่อปลายปีที่แล้วบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ต่างก็กำลังตื่นเต้นไปกับเทคโนโลยีบล็อกเชนเพราะพวกเขามีรายได้จากเทคโนโลยีนี้เพิ่มขึ้นถึง 25% ในช่วงปลายปี 2019
โดยธุรกิจยักษ์ใหญ่อย่างเช่น JP Morgan Chase, Walmart , AirAsia, Mitsubishi และ Tencent ทั้งหมดกำลังอยู่ในขั้นตอนสำรวจสินทรัพย์ดิจิทัล และบางบริษัทก็ได้ล่วงหน้าไปก่อนแล้วเช่น SociétéGénérale บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการเงินของฝรั่งเศสที่กำลังคงยุ่งอยู่กับการสร้าง ‘security token’ สำหรับธุรกิจตราสารหนี้ ซึ่งสิ่งที่น่าจับตามองมากที่สุดในบรรดาบริษัทเหล่านี้ก็คือกลุ่มบริษัท komgo SA ที่รวมถึง ABN AMRO, BNP Paribas, Citi, Crédit Agricole Group , ING, Rabobank และ Shell เนื่องจากพวกเขากำลังสร้าง blockchain บนพื้นฐานของ Ethereum อยู่ในขณะนี้
3. Bitcoin Halving
ทุก ๆ สี่ปีตามที่กำหนดโดย Satoshi Nakamoto ซึ่งจะเป็นลดรางวัลของการขุด Bitcoin ในเครือข่ายลงครึ่งหนึ่งและเหตุการณ์นี้จะครบกำหนดในเดือนพฤษภาคมของปีนี้
นั่นหมายความว่ารางวัลของการขุดจะถูกปรับลดลงจาก 12.5BTC (ประมาณ $ 90,000) ไปเป็น 6.25 BTC (ประมาณ $ 45,000) สิ่งนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ bitcoin ถูกสร้างขึ้นมาน้อยลงและทำให้อัตราเงินเฟ้อในเครือข่ายโดยรวมลดลง โดยอัตราเงินเฟ้อจะลดลงจาก 4 เปอร์เซ็นต์เหลือ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่ในขณะเดียวกันนักวิจารณ์หลายคนก็เชื่อว่าหากมีการ Halving เกิดขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ แรงจูงใจของบรรดานักขุดก็จะลดลงด้วยเช่นเดียวกัน
4. Ethereum 2.0
ในขณะที่เหตุการณ์ Bitcoin Halving กำลังใกล้เข้ามาถึง ในขณะเดียวกัน Ethereum ก็กำลังมุ่งไปสู่กระบวนการพัฒนาเครือข่ายในระยะที่สอง ซึ่งก็คือการนำเสนอ proof-of-stake เพื่อยุติการใช้เครือข่ายพลังงานของ proof-of-work และนำมาสู่กระบวนการ sharding ที่ทุกคนรอคอยมาอย่างยาวนานที่จะช่วยเพิ่มความเร็วและการทำธุรกรรมทั้งหมดบนเครือข่าย
ETH 2.0 จะถูกนำมาปรับใช้และถูกทดสอบในเจ็ดขั้นตอนที่แตกต่างกันภายในช่วงเวลาหลายปี โดยในขณะนี้เรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเฟส 0 หรือที่เรียกว่า Beacon Chain ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวในไตรมาสแรกของปีนี้ จุดประสงค์ของเฟสนี้คือการปล่อย proof-of-stake chain (Beacon) ให้ทำงานควบคู่ไปกับเครือข่าย proof-of-work chain แนวคิดนี้คือการมอบโอกาสแก่นักพัฒนาในการทดสอบเครือข่ายโดยไม่ต้องไปยุ่งกับฟังก์ชั่นและฟีเจอร์ที่ซับซ้อนบนเครือข่ายปัจจุบันใน mainnet
5. DeFi จะเติบโตมากขึ้น
การกระจายอำนาจทางการเงินหรือที่เราเรียกว่า DEFI เริ่มมีการจดทะเบียนที่อยู่เพิ่มขึ้นกว่า 1,600% ในช่วงปีที่ผ่านมา
โดยตัวอย่างของโปรเจค Defi ที่เราเห็นได้ชัดเจนที่สุดเลยก็คือ MakerDAO และ Compound ซึ่งได้เสนอทางเลือกให้ผู้ใช้หันมาถือครองสินทรัพย์คริปโตและรับผลตอบแทนในระยะยาว
ในขณะเดียวกันการเติบโตอย่างช้า ๆ ของเครือข่าย Ethereum ก็อาจช่วยเร่งการเติบโตให้กับ DeFi ในปีนี้ แต่ถึงกระนั้น DeFi ก็อาจต้องเผชิญกับอุปสรรคในเรื่องการแสดงหลักฐานความยืดหยุ่นและสภาพคล่องทางการเงินเพื่อทำให้ทุกคนมั่นใจได้ว่าเครือข่ายดังกล่าวจะมีศักยภาพในการเข้าถึงระบบการเงินได้อย่างแท้จริง
6. Blockchain และการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก
ในขณะที่โตเกียวกำลังจะไปเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในช่วงฤดูร้อนครั้งหน้า เทคโนโลยี blockchain ก็จะเข้ามามีบทบาทในเรื่องราวเหล่านี้ด้วยเช่นกัน โดย Mitsubishi Estate ซึ่งเป็นบริษัทที่บริหารจัดการย่านธุรกิจเกือบทั้งหมดในโตเกียวเพิ่งได้ร่วมมือกับ Fujitsu บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่เพื่อแบ่งปันข้อมูลใน blockchain ที่ปลอดภัยระหว่างร้านอาหารโรงแรมและบริษัท อื่น ๆ ในช่วงมหกรรมกีฬาที่ยาวนานตลอดทั้งเดือน
เทคโนโลยีบล็อกเชนจะช่วยให้ประชากรกว่า 37 ล้านคนตรวจสอบการจองที่พัก , ร้านอาหาร , โรงแรมได้อย่างง่ายดายและยังช่วยลดเวลาในการรอคอยและปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ทาง Mitsubishi Estate ยังได้ทำงานร่วมกับ SoftBank กลุ่มบริษัทข้ามชาติเพื่อช่วยในการประมวลผลข้อมูลใน blockchain ให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
7. กฏระเบียบด้านคริปโตจะเริ่มเข้มงวดมากขึ้น
ในปี 2020 กฏระเบียบด้านคริปโตจะเริ่มเข้มงวดมากขึ้น กระดานเทรดคริปโตต่าง ๆ จะถูกบังคับให้มีความเป็นมืออาชีพ ซึ่งหมายความว่าโปรเจคเหรียญคริปโตที่ไม่มีประโยชน์จะเริ่มถูกเพิกถอนอย่างจริงจังและนักลงทุนจะแห่กันไปลงทุนในโปรเจคเหรียญคริปโตที่มีคุณภาพแทน การประเมินมูลค่าของโปรเจคจะไม่สามารถอยู่รอดได้ด้วยวิสัยทัศน์และแนวคิดเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เพราะในปี 2020 ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับแรงขับเคลื่อนและการใช้งานทั้งสิ้น
ในขณะเดียวกันเครือข่ายการบังคับใช้กฎหมายอาชญากรรมทางการเงินของสหรัฐอเมริกา (FinCEN) ก็ได้กล่าวว่าธุรกิจบริการด้านการเงินทั้งหมดรวมถึงคริปโตเคอเรนซี่จะต้องส่งข้อมูลของลูกค้าที่มีการทำธุรกรรมสูงกว่า $ 3,000 ให้กับทาง FinCEN ซึ่งกฎหมายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในเดือนมิถุนายนของปีนี้
นาย Nick Cowan CEO ของตลาดหลักทรัพย์ Gibraltar กล่าวว่า “กฎระเบียบนั้นเป็นจุดศูนย์กลางที่สำคัญสำหรับรัฐบาลหลาย ๆ ประเทศที่ต้องการสร้างความชัดเจนให้กับสินทรัพย์คริปโต โดยหน่วยงานเขตอำนาจของสหราชอาณาจักรกล่าวสรุปว่าสินทรัพย์คริปโต ซึ่งรวมถึงสกุลเงินเสมือนจริงจะได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับสกุลเงินทั่วไป”
เครดิต : decrypt.co
Facebook Comments